เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒o ต.ค. ๒๕๕๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราเกิดเป็นมนุษย์นะ มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ มนุษย์ปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ แต่ความสุขของมนุษย์อยู่ที่ไหน? ถ้าความสุขของมนุษย์ ดูเด็กๆ สิ เด็กๆ จะมีความสุขมากถ้าพ่อแม่ตามใจ พ่อแม่ตามใจ พ่อแม่เอาใจเด็กๆ จะมีความสุขมากเลย แต่ความสุขอย่างนี้มันยั่งยืนไหม? ความสุขอย่างนี้ยั่งยืนไหม? ความสุขอย่างนี้มันยั่งยืนไม่ได้ เพราะเด็กมันต้องโตขึ้นมาเป็นธรรมชาติของมัน

มนุษย์ก็เหมือนกัน มนุษย์นี่ผู้เฒ่าผู้แก่เขาว่าเป็นคนที่มีอายุแล้ว มีอายุนั้นมันเป็นเรื่องของโลกๆ ไง แต่หัวใจมันไม่มีอายุสิ เพราะหัวใจนี้ไม่มีอายุนะ จะเด็กจะแก่ขนาดไหน จิตใจก็คือจิตใจ มันไม่มีอายุของมัน เพราะมันหมดจากชาตินี้ไปมันก็ไปเวียนตายเวียนเกิดของมัน แต่เราก็บอกว่าชาตินี้ชาติสุดท้ายเท่านั้น มีชาตินี้ชาติเดียว ชาติหน้าไม่มี ชาติหน้าไม่มี เวลาศาสนาบอกว่ามีนรกสวรรค์ อันนี้เขียนเสือให้วัวกลัว มันไม่เป็นความจริง

เวลากิเลสมันหลอกเรานะ มันหลอกเราได้ขนาดนี้ แล้วเราปรารถนาความสุขๆ เราปรารถนาความสุขที่ไหนล่ะ? ถ้าปรารถนาความสุขโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันก็ทำแต่ความพอใจของมัน คำว่าทำตามความพอใจของมัน มันก็ทำตามที่ไม่มีเหตุมีผลใช่ไหม? แต่ถ้าเราปรารถนาความสุขของเรา เรามีศีลมีธรรมของเรา ถ้าเรามีศีลมีธรรมของเรา เรามีกติกานะ ศีล ๕ เราจะไม่เบียดเบียนใคร เราจะไม่หยิบฉวยของใคร เราจะไม่พูดปดใคร เพราะพูดปด สิ่งที่เราพูดปดไป เราพูดปด คนถ้าโกหกแล้วทำความผิดอย่างอื่นอีกไม่มีเลย

ฉะนั้น ถ้าเรามีศีลของเรา เห็นไหม เราจะทำคุณงามความดีของเราในขอบเขตของศีล ของธรรม ถ้าในขอบเขตของศีลของธรรม ดูสิคนเราเกิดมาต้องมีอาหาร มีปัจจัยเครื่องอาศัย เวลามีปัจจัยเครื่องอาศัยทุกคนก็แสวงหาทั้งนั้นแหละ พระเราก็แสวงหามา ถ้าพระแสวงหามา นี่เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง แต่เวลาแสวงหามานะ แสวงหามาแล้วมันเป็นประโยชน์กับเรามากน้อยแค่ไหนล่ะ? ถ้าคนที่ไม่มีความฉลาดนะ เวลาแสวงหามานี่สิทธิของเราๆ นี่มันสันโดษ มักน้อยอีกต่างหาก มักน้อยเพราะพอแต่การดำรงชีวิตนี้เท่านั้น

ถ้าการดำรงชีวิตนะ นี่ดูสิโรคภัยไข้เจ็บมันมาจากอะไรล่ะ? มาจากพฤติกรรมของความเป็นอยู่ของคน คนมีความเป็นอยู่อย่างไร? พฤติกรรมในชีวิตนั้นมันจะทำให้คนเจ็บไข้ได้ป่วยตามแต่พฤติกรรมของเขา พระ! พระที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม นี่เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง สิ่งที่หามาได้ ไม่มีสติปัญญาจะใช้ของสิ่งนั้นเชียวหรือ? เวลาพระอยู่ป่าอยู่เขานะ เวลาบิณฑบาตมา นี่ได้มาฉันแต่พอดำรงชีวิตเท่านั้น แล้วสิ่งที่เหลือ สิ่งที่เหลือเสียสละให้กับสัตว์ นี่วางไว้เป็นที่เป็นทางให้กับสัตว์ได้ดำรงชีวิตของมัน

นี่ก็เหมือนกัน ปรารถนาดีไหม? นี้สิ่งที่ปรารถนาดีนะ คือเจตนาดีเพราะเราเสียสละทาน แต่สิ่งนี้ถ้าคนที่ไม่มีปัญญานะมันจะล่อ ล่อให้สัตว์เข้ามา ห่วงโซ่ของอาหาร สัตว์เล็กมันก็มากินอาหารนั้น สัตว์ใหญ่ก็ตามสัตว์เล็กนั้นมา ทุกอย่างมันหาแต่เรื่องไม่ปลอดภัยให้ตัวเองทั้งนั้นเลย แม้แต่เราปรารถนาดีนั่นน่ะ ปรารถนาดีกับสัตว์ ถ้าปรารถนาดีกับสัตว์ นี่ห่วงโซ่อาหารมันชักลากกันมานะ สัตว์นักฆ่ามันจะตามสัตว์เล็กมา แล้วมันก็เป็นความกระทบกระเทือนของเราใช่ไหม?

ฉะนั้น คนที่ฉลาดจะรู้จักดูแลรักษาของเขา รู้จักว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์และสิ่งใดไม่เป็นประโยชน์ แล้วถ้าเราปรารถนาความสุข ความสุขของใคร? ถ้าความสุขของเรา เห็นไหม สิ่งใดถ้ามันสมความพอใจ ถ้ามันปรารถนาสิ่งใด มันต้องการสิ่งนั้น สิ่งนั้นเป็นความสุข นี่เป็นความสุขของเขา นี่เป็นความรู้สึกนึกคิดของเขานะ ชีวิตนี้สั้นนัก เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์นะ ระลึกถึงความตายวันละกี่หน? นี่จะกี่หนก็แล้วแต่พระพุทธเจ้าบอกประมาทแล้ว ระลึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก

ชีวิตนี้สั้นนัก ถ้าชีวิตนี้สั้นนัก นี่สิ่งที่มีค่าที่สุดคือความรู้สึกนึกคิดของเรา คือหัวใจนะ ความรู้สึกนึกคิดเป็นจิตไหม? เป็นอาการของจิตไง นี้ความรู้สึกนึกคิด เราพูดโดยสามัญสำนึกทั่วไปก็บอกความรู้สึกนึกคิดนี้เป็นใจๆ ใจคือความรู้สึกนึกคิด แต่ถ้าจริงๆ แล้ว เวลาจิตมันเข้าไปสู่จิตเดิมแท้มันพูดไม่ได้ มันเป็นสิ่งเดียว สิ่งที่จะพูดได้ต้องมีการกระทบ มีบวกกับลบ ขั้วบวกกับลบมันกระทบกันมันจะเกิดพลังงานขึ้นมา

จิต จิตถ้ามันเข้าไปสู่ตัวมันเองมันเป็นพลังงานอะไรของมัน นี่พลังงานที่สะอาดบริสุทธิ์เป็นพลังงานอย่างไร ความรู้สึกนึกคิดนี่ตัวจิต จิตนี้ถ้ามันมีสติมีปัญญาขึ้นมา เราสร้างบุญกุศลกันนะ แล้วถ้าเราสร้างบุญกุศลกัน ใครที่สร้างบุญกุศล จิตดวงนั้น นี่เวลาหลวงตาท่านพูดบ่อย

“จะแพ้ชนะกัน แพ้ชนะกันที่ใจ”

ใจดวงหนึ่งมีธรรมกับใจดวงหนึ่งที่ไม่มีธรรม ใจดวงที่มีธรรมมันจะทำสิ่งใดมันก็มีสติปัญญา มันระแวดระวัง จะทำสิ่งใด ไม่ทำให้เราเอาแต่สิ่งที่เป็นบาปกรรมเข้ามาสู่ใจของเรา จิตที่ไม่มีธรรมมันเอาแต่ความพอใจของมัน ถ้าจะเอาแพ้ชนะกันคือแพ้ชนะกันที่ใจดวงหนึ่งมีธรรมกับใจดวงหนึ่งที่ไม่มีธรรม ใจดวงที่มีธรรมนะ มันจะตกระกำลำบากขนาดไหน ถ้ามันมีธรรมในหัวใจของมัน มันมีสติปัญญานะ มันรักษาใจของมันได้ ถ้าจิตใจที่ไม่มีธรรม เวลามันหกระเหิน มันตกความลำบากลำบนขึ้นมา มันจะน้อยเนื้อน้อยใจ มันจะน้อยเนื้อต่ำใจ มันจะคิดมากของมันไป

จิตที่มันระหกระเหิน ถ้ามันไม่มีธรรมในหัวใจของมัน ถ้าจิตที่ระหกระเหิน ถ้ามีธรรมในหัวใจของมัน เห็นไหม นี่แพ้ชนะกันที่นี่ ถ้าแพ้ชนะที่นี่ทำบุญกุศลขึ้นมาเพื่อเหตุใดล่ะ? เพื่อให้จิตใจเรามั่นคง เพื่อให้จิตใจเรามีหลักมีเกณฑ์ จิตใจเรามีสติปัญญาขึ้นมา ถ้าเรามีสติปัญญานี่รักษากันที่นี่ แพ้ชนะกันที่นี่

ฉะนั้น เรามาทำบุญกุศลกัน บุญกุศลเราเสียสละให้จิตใจเราเข้มแข็ง จิตใจที่อ่อนแอ คนที่จิตใจอ่อนแอ ดูสิคนทำบุญกุศลที่เขาจะทำเขาละล้าละลังนะ หลวงตาท่านพูดอีกแหละ ท่านบอกว่าคนที่มันตระหนี่นะ เวลาจะทำบุญ นี่เงินบาทนะเป็นกระดาษกำไว้จนเปียก เหงื่อมันออกไง ตัดสินใจไม่ได้ จะให้หรือไม่ให้กำอยู่นั่นล่ะ

นี่เสียสละทานให้จิตใจเข้มแข็ง ถ้าจิตใจของคนที่เขาเข้มแข็งนะเขาเห็นว่าเป็นประโยชน์ของเขา เห็นว่าเป็นประโยชน์ของเขา เสียสละออกไปนี่เป็นประโยชน์ของเขา ประโยชน์เพราะอะไร? เพราะเขาได้เสียสละสิ่งนั้นออกไป สิ่งที่เสียสละออกไปมันเป็นบุญกุศลกลับมาที่ใจ ใจมันเข้มแข็งขึ้นมาไง ใจที่อ่อนแอมันทำสิ่งใดไม่ได้ ละล้าละลังๆ กำเงินไว้จนเปียก จนเปียกมันยังให้ไปไม่ได้ แต่ถ้าคนที่ไม่กำไว้จนเปียกเขาเสียสละของเขา จิตใจเขาเข้มแข็งของเขา นี่เราทำบุญกุศลเพื่อเหตุนี้ เหตุให้จิตใจมีความเข้มแข็ง ทำบุญกุศลแล้วได้ฟัง ฟังธรรมก็พูดถึงชีวิตของเราไง

ธรรมะคืออะไร? ธรรมะคือสิ่งที่เป็นหัวใจของมันคือการเกิดและการตาย การเกิด เกิดมาแล้ว นี่เกิดมาจากไหน? เกิดมาเป็นเราแล้ว ตายแล้ว นี่ตายแล้วก็จุติไปแล้ว การเกิดและการตาย ขณะที่เราได้มาและเสียไป ขณะที่ได้มานะเราได้ชีวิตนี้มา เราได้มานี่ จิตนี่มันเวียนตายเวียนเกิด มันเสียภพชาตินั้นมา มันมาภพชาตินี้ การเกิดและการตาย หัวใจของมันเวลาฟังธรรมๆ สิ่งที่สำคัญคือการเกิดและการตาย แล้วใครเกิดใครตาย? ใครเกิดใครตายล่ะ?

นี่เราบอกมนุษย์ตาย เห็นไหม เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ จิตดวงหนึ่งถ้าเอาสิ่งที่เราเกิดมาเป็นสัตว์เดรัจฉาน เกิดมาเป็นต่างๆ เอาสรีระร่างกายนี้มาทับถมกัน มาซ้อนกันนะใหญ่กว่าโลกนี้ โลกนี้ไม่มีที่สะสมไว้ แต่นี้มันย่อยสลายไปเราเลยไม่เห็นไง น้ำตา น้ำตาแต่ละภพแต่ละชาติที่มันร้องไห้ที่มันเสียใจอยู่นี่ ถ้าเก็บไว้น้ำทะเลสู้ไม่ได้ เห็นไหม จิตดวงหนึ่งเวียนตายเวียนเกิดอยู่ นี่จิตดวงหนึ่งเวียนตายเวียนเกิด การเวียนตายเวียนเกิดสำคัญที่สุด

การเวียนตายเวียนเกิดสำคัญที่สุด เราทำบุญกุศลกันมา เราฟังธรรมๆ ฟังธรรมก็ฟังเรื่องของเรานี่ไง ฟังเรื่องของเรา เรื่องของเราที่เราไม่รู้ไง เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติกับหลวงปู่มั่นนะ เวลาไปหาหลวงปู่มั่น นี่หลวงปู่ขาวกับหลวงปู่แหวนท่านคุยกัน ท่านบอกว่าเราไปหาหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นจะรู้จักใจเราไหม? พอเข้าไปถึงท่านนะ ท่านใส่เอาเลย

“ใจของตัวล่ะไม่ดู จะให้คนอื่นดูใจของเราให้แทน”

ใจของตัวล่ะไม่ดู เราไม่รู้ เราไม่รู้ความรู้สึกนึกคิดของเรา เราตามความรู้สึกนึกคิดของเราไม่ทัน เราไม่รู้ว่าจิตของเราเวียนตายเวียนเกิด เราไม่เห็น แต่ครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติของท่านไปแล้ว นี่จิตเวียนตายเวียนเกิดสำคัญนัก พูดถึงว่าสิ่งที่มันเวียนตายเวียนเกิดเพราะอะไรล่ะ? เพราะมันพร่อง ดูขวดน้ำสิ ขวดน้ำที่มันมีอากาศมันเขย่าเสียงดังมากเลย ขวดน้ำถ้ามันเต็ม น้ำถ้ามันเต็ม ขวดมันเขย่าเสียงดังไหม?

จิตใจที่มันพร่อง จิตใจที่มันพร่องนี่เสียงมันดังมากแต่มันไม่ได้ยิน แต่จิตใจที่เขาเต็ม ขวดน้ำที่มันเต็มแล้ว ใจที่อิ่มเต็มแล้วเขาไม่มีเสียงของเขา เขารู้ของเขา มันไปไหนล่ะ? มันไม่ไปไหน แต่จิตใจที่มันพร่อง พร่องเพราะอะไร? พร่องเพราะมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก นี้กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันอยู่กับเรานะ นี่เวลามันเกิด จิตนี้เวียนตายเวียนเกิด จิตนี้มันเกิด นี้จิตที่มันเกิดแล้วศึกษาเรื่องนี้ทำไมล่ะ?

นี่ทำมาหากินก็ลำบากลำบนพอแรงอยู่แล้ว นี่ทุกข์ยากขนาดนี้แล้วยังต้องมาศึกษาทำไมล่ะ? ทุกข์ยากซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ภพชาติมันเป็นแบบนี้ มันจะเกิดมาซ้ำรอยกันอยู่อย่างนี้ แต่มันซ้ำแล้วซ้ำเล่า นี่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเราก็ทำหน้าที่ของเรา เพราะคนเกิดมาต้องมีอาหาร อาหารนี่เป็นปัจจัยเครื่องอาศัยใช่ไหม? ชีวิตนี้มีค่า ชีวิตนี้มีค่าเพราะอะไร? เพราะมีจิต มีความรู้สึกนึกคิด เราถึงสำนึกถึงตัวเองได้ ถ้าสำนึกถึงตัวเองได้มันเกิดสติ มันเกิดสมาธิ มันเกิดปัญญาขึ้นมา

ความสำนึกที่ตัวเองได้นี่แหละมันจะเข้าไปดูแลใจของบุคคลคนนั้น มันจะดูแลใจของคนคนนั้น แต่เวลาเราออกมาเป็นวิชาชีพ เป็นสัมมาอาชีวะเราต้องแสวงหาใช่ไหม? มันก็ต้องแสวงหาเพราะมันเป็นเรื่องของโลกๆ โลกๆ เพราะเราเกิดมามีภพมีชาติ เกิดมามีชีวิต เกิดมาต้องหาปัจจัยเครื่องอาศัย แต่การที่หาปัจจัยเครื่องอาศัยมันเป็นเรื่องโลก แล้วตายซ้ำตายซาก ถ้าไม่มีสติปัญญาที่จะทำคุณงามความดีของเรา ไม่รักษาใจของเรา มันจะเวียนตายเวียนเกิดไปอีก

แล้วเวียนตายเวียนเกิด บุญกุศลเป็นเครื่องอาศัยนะ ใครที่เวียนตายเวียนเกิด ถ้ามีบุญกุศลไปนี่ไปต่อไป ดูสิเวลาเราเกิดมาภพชาตินี้ ทุกคนน้อยเนื้อต่ำใจ ประชาธิปไตย เวลาบอกประชาธิปไตย สิทธิเสมอภาคๆ แต่ทุกข์สุขมันไม่เสมอภาคน่ะสิ แม้แต่ใจของเรานะ เวลามันเจริญรุ่งเรือง แหม โลกนี้สวยงามไปหมดเลย

เวลาจิตใจที่มันเศร้ามันหมอง เห็นไหม ก็ที่เดียวกันนั่นแหละ ทำไมมันทุกข์ยากขนาดนั้น? แม้แต่จิตใจเรายังลุ่มๆ ดอนๆ ยังไม่เสมอภาคเลย แล้วบอกประชาธิปไตยๆ นี่มันพูดกันเรื่องโลกๆ ไง มันบิดธรรมะไปไง บิดให้เราคิดว่าอย่างนั้น แล้วเราก็หลงตามมันไปไง แต่ถ้าเรามีสติปัญญาขึ้นมา เรามีสติปัญญาขึ้นมา เห็นไหม นี่หัวใจของเขา ความสุขความทุกข์ของเขาก็เรื่องของเขานะ

เราเกิดมาในสังคมนะ เราเกิดมานี่มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เราเกิดมาในสังคมเราก็ต้องรักษาหัวใจของเรา เราอยู่กับสังคมนี่แหละ เราต้องมีหน้าที่การงานนี่แหละ แล้วหน้าที่การงานเราไว้ใจสิ่งใดได้ล่ะ? นี่เห็นหน้าไม่รู้ใจ แล้วเราคิดอย่างไรล่ะ? เราจะอยู่ของเราอย่างไร? ถ้าอยู่อย่างไร ถ้าเรามีสติปัญญาของเรา เรารักษาใจของเรา เห็นไหม เราจะไม่หวั่นไหวไปกับเขา คนที่จิตใจเข้มแข็งจะพิจารณา จะคิดสิ่งใดจะทำสิ่งใดมันมีจุดยืนของมัน นี่มันไม่เป็นเหยื่อนะ

ถ้าจิตใจของเราอ่อนแอ หนึ่ง เราเป็นเหยื่อแล้ว เป็นเหยื่อเพราะอะไร? เป็นเหยื่อเพราะใจเรามันอ่อนแอ เป็นเหยื่อเพราะจิตใจของเราไม่มีหลักมีเกณฑ์ ถ้าจิตใจมีหลักมีเกณฑ์มันมาจากไหนล่ะ? มันมาจากการฝึกฝนนี่แหละ มันไม่มีสิ่งใดลอยมาจากฟ้าหรอก พุทธศาสนา เหตุและปัจจัย มีเหตุมีปัจจัย มีเวรมีกรรม มันไม่มาจากฟ้าหรอก

ฉะนั้น สติปัญญา เชาวน์ปัญญา มันเกิดมาจากไหน? ก็เกิดมาจากการสร้างสม เกิดมาจากการกระทำทั้งนั้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ เห็นไหม ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ

“เราเป็นคนอำนาจวาสนาน้อย ชีวิตเราแค่ ๘๐ ปี”

๘๐ ปีเพราะอะไร? เพราะสร้างมา ๔ อสงไขย เวลาพระพุทธเจ้าองค์ต่อๆ ไปสร้างมา ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย อายุของเขา ๘๐,๐๐๐ ปี...เขาวางศาสนาไว้ ๔๐,๐๐๐ ปี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเรานี่วาสนาน้อยๆ อายุเราแค่ ๘๐ ปี เราวางศาสนาไว้อีก ๕,๐๐๐ ปี นี่มันมาจากไหนล่ะ? ก็มันมาจากการสะสม การสร้างคุณงามความดีไง คุณงามความดีใครจะมากใครจะน้อยไง ถ้าคุณงามความดีของใครมากมหาศาลเขาก็สร้างของเขามา เวลาผลตอบแทนมามันก็มหาศาล มันไม่มีสิ่งใดได้มาฟรีหรอก

ถ้าไม่ได้มาฟรี นี่ที่เราทำกันอยู่นี้ เห็นไหม เราอยากได้ดีเราต้องทำความดีของเรา เราอยากได้ดีต้องทำดี เราอยากได้สุขเราต้องแสวงหาความสุข ถ้าแสวงหาความสุขทางโลก อันนั้นเราไปกระแสโลก เราเชื่อไม่ได้ เราจะเชื่อได้ รัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สัจธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ธรรมอะไร? ธรรมก็นี่แหละการเกิดและการตาย นี่อริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค แล้วเราศึกษา นี่เราศึกษามาเพื่อประโยชน์กับเรานะ ทุกคนจะน้อยเนื้อต่ำใจ ทุกคนจะบอกว่าทำงานก็ทุกข์พอแรงอยู่แล้ว ทำงานมันทุกข์ไหมล่ะ? แล้วสิ่งนี้มาเจือจานไง

นี่ธรรม เห็นไหม เวลาทุกข์ควรกำหนด เวลาธรรมล่ะ เวลาสุขควรกำหนดไหม? สุขที่แสวงหาอยู่นี่ต้องกำหนดมันไหม? สุขมันอยู่กับเราไหม? แต่ทุกข์ผลักมันทำไมไม่ไปล่ะ? ทุกข์เวลามันผลักออกไปทำไมมันไม่ไป? นี่ไงถ้าเราประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมาก็ตรงนี้ไง ถ้ามันมีธรรมะ ธรรมโอสถเข้ามาหล่อเลี้ยง แล้วพอมันหล่อเลี้ยง สิ่งที่ว่าทุกข์ๆ หูตามันจะสว่างนะ อืม งานก็คืองาน มันก็เหมือนกัน ทำไมเวลาจิตใจเราดีมันไม่ทุกข์ล่ะ? ทำงานก็ทำงาน ทำไมมันเครียดขึ้นมามันทุกข์ล่ะ? นี่งานก็คืองาน งานก็คือทำทุกๆ วัน เออ วันนี้ทำแล้วดีเนาะ เพลิดเพลินเจริญใจ อ้าว! วันนี้ทำไมมันทุกข์ล่ะ? นี่ถ้ามันย้อนกลับมามีสติปัญญา อ๋อ...เพราะเราโง่ งานก็คืองาน

ฉะนั้น เวลามันน้อยเนื้อต่ำใจมันก็พูดอย่างนั้นล่ะ นี่งานล้นมืออยู่แล้ว แล้วจะทำอย่างไร? หลวงตาท่านสอนบ่อยนะ ก่อนนอนสัก ๕ นาทีก็ยังดี ฝึกมันไว้ เราหิวกระหายนะได้ดื่มน้ำสักคำหนึ่งก็ยังดี ได้ดื่มน้ำสักอึกหนึ่งมันก็ยังพอชื่นใจ จิตใจมันเร่าร้อนมันตึงเครียดมาตลอด เห็นไหม เราได้กำหนดสัก ๕ นาที ๑๐ นาทีก็ยังดี ฝึกหัดไปๆ คนดื่มน้ำ พอดื่มน้ำเสร็จ เออ น้ำมีคุณค่า มันก็เห็นคุณค่าของอาหาร มันก็อยากขวนขวายกินอาหารของมัน กินอาหารแล้วมันก็อิ่มเต็ม แต่เดิมทำอะไรก็ไม่ได้ ดื่มน้ำสักคำหนึ่งให้มันรู้จักรสชาติของมัน

นี่ก็เหมือนกัน ภาวนาของเรา เราทำของเรา ทำเพื่อประโยชน์กับเรานะไม่ใช่ประโยชน์กับใครทั้งสิ้น แล้วทำผิดทำถูกเดี๋ยวค่อยว่ากัน มันมีมาเหมือนกัน เดี๋ยวจะว่ากันนะ ฉะนั้น ให้เห็นคุณค่าของชีวิต แล้วทำคุณงามความดี ความดีเพื่อเรา ใครจะดีจะชั่วเรื่องของเขา เราจะต้องมีสติปัญญารู้จักดีรู้จักชั่วในใจของเรา แล้วทำเพื่อประโยชน์กับใจของเรา แล้วเราจะประสบความสำเร็จในชีวิตของเรา เอวัง